03/11/2024
แจ้งเตือน!!! สำหรับแม่ค้าออนไลน์ #ธารณคนน่ารัก #ธารณธรรม
มีคนโดน สคบ. ปรับเงินรวม 132,000 บาท เนื่องจากการขายสินค้าออนไลน์
ใครมีเวปไซต์ หรือ ขายของออนไลน์ ในทุกรูปแบบ ลองอ่านกันะครับ
คิดอยู่นานว่าจะเขียนมาบอกคนอื่นดีไหม หรือผมจะโดนเพ่งเล็งอะไรจากหน่วยงานอีกรึป่าว แต่คิดแล้วถ้าไม่บอกน่าจะมีคนโดนอีกเยอะมาก และผมคิดว่ามันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ กับการโดนปรับในครั้งนี้
เริ่มจากช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทของผมได้รับจดหมายแจ้งจาก สคบ ว่าเราได้ประกอบการขายสินค้าทางเวปไซต์ โดยไม่ได้มีการจดทะเบียน "การประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง" หลังจากที่ได้รับจดหมายมา คืองงมาก เข้าใจมาตลอดว่า เราแค่จดทะเบียนพานิชย์ DBD เราก็ขายของ Online บนเวปไซต์ได้แล้ว ซึ่งผมเปิดเวปไซต์มา 10 กว่าปีแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีกฏหมายข้อนี้ด้วย
ทาง สคบ ระบุว่า การจดทะเบียน "การประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง" หมายความว่า ถ้าบริษัทของคุณมีการ การขายสินค้าและบริการโดยการใช้สื่อที่ส่งข้อมูลตรงถึงลูกค้า เช่น ทางอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ อีเมล โบรชัวร์ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อออนไลน์อื่น ๆ โดยไม่ต้องใช้ตัวแทนขายในการติดต่อกับผู้บริโภค คุณจะต้องจะทะเบียนกับทาง สคบ.
(ซึ่งในยุคนี้ มันก็เกือบทุกบริษัทนั่นแหละ ที่มีการสื่อสารส่งข้อมูลให้ลูกค้าทาง Internet และขายของ Online) ซึ่งจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ สคบ ได้ความว่า ไม่ใช่แค่เวปไซต์อย่างเดียว การขายของ Online ผ่านทาง Facebook , Line หรือ ช่องทางอื่นๆก็เข้าข่ายต้องจดทะเบียนด้วยเช่นเดียวกัน
ผมสงสัยมากว่า นี่ผมโง่เองคนเดียวที่ไม่รู้กฏหมายข้อนี้ ทั้งๆที่มีเวปไซต์ขายของ Online มาเป็น 10 ปีแล้ว หรือคนอื่นก็ไม่มีใครรู้ด้วย ผมก็เลยโทรไปถามผู้ประกอบการธุรกิจแบบเดียวกัน ที่มีขายของ Online เหมือนกัน โทรไป 20-30 บริษัท ปรากฏว่าก็ไม่มีใครรู้กฏหมายข้อนี้เลยสักรายเดียว และ ไม่มีคนรอบตัวผมจดทะเบียนธุรกิจแบบตลาดตรงเลยสักคนเดียวเลยครับ แม้กระทั้งบริษัทที่สร้างเวปไซต์ให้กับผม ที่ทำเวปให้กับบริษัท E-Commerce ใหญ่ๆหลายๆราย ก็ไม่รู้ข้อกฏหมายนี้เช่นเดียวกัน
ผมจ่ายค่าปรับ 132,000 บาทโดยไม่ได้โต้แย้งอะไร เพราะปรึกษาหลายๆคนแล้ว ให้ความเห็นตรงกันว่าแย้งไปก็สู้เค้าไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ แต่ไหนๆจะจ่ายทั้งทีแล้ว ขอรู้ข้อมูลหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็เลยเข้าไปที่ สำนักงานของ สคบ. เพื่อจะสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า มีคนโดนปรับแบบผมเยอะไหม แล้วทำไมพวกเราในฐานะผู้ประกอบการณ์ ถึงไม่รู้เลย และก็ได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่า คนไม่รู้ตรงนี้เยอะมาก และ ปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนธุรกิจตลาดแบบตรงทั้งประเทศไทยมีแค่ 800 กว่าบริษัทเท่านั้น ผมก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ นี่มันอะไรกัน ประเทศไทยน่าจะมีเวปไซต์ขายของ Online เป็นแสน เป็นล้าน เวปนะ และถ้านับคนที่ไม่มีเวป แต่ขายของ Online ด้วย น่าจะหลายล้านรายเลยด้วยซ้ำ ทำไมถึงมีคนจะทะเบียนแค่ 800 กว่าราย แล้วแบบนี้คนที่เหลือจะต้องโดน สคบ เรียกปรับเป็นแสนๆแบบนี้ทุกคนหรอ
ผมรู้ดีว่า เราทำผิดแล้วจะมาอ้างว่าไม่รู้กฏหมายไม่ได้ แต่คำถามที่ผมถามเจ้าหน้าที่คือ ทาง สคบ ได้มีการประชาสัมพันธ์ หรือ มีความพยายาม จะทำให้ผู้ประกอบการณ์รู้ไหมว่า ต้องมาจดทะเบียนตรงนี้ หรือ ตั้งหน้าตั้งตา จะปรับเงิน เพื่อเอาเงินอย่างเดียว ทั้งๆที่ปัจจุบันแทบจะทุกบริษัท ทุกร้านค้าก็ ใช้ Online เป็นช่องทางกันหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เหมือนจะยอมรับว่า “ การะประชาสัมพันธ์มันยังไม่ทั่วถึงพอ “
จุดพีคมันอยู่ตรงที่ ผมถามต่อถึงเรื่องการตรวจสอบว่า ทาง สคบ เป็นคนสุ่มเชคเวปต่างๆเองหรือให้หลักเกณท์ยังไง เจ้าหน้าที่ได้ตอบว่า จะมีคนเขียนคำร้องแจ้งเข้ามา และ ผู้แจ้งจะได้ส่วนแบ่งจากค่าปรับ “ 25% “ ถึงตรงนี้ผมก็เลย Get ทันทีครับ ผมถามต่อว่าผมสามารถรู้ชื่อของคนที่แจ้งเค้ามาได้ไหมว่าเค้าคือใคร ทางเจ้าหน้าที่ตอบว่า แน่นอนว่าไม่สามารถแจ้งได้
ลองคิดเล่นๆว่า ถ้าปรับสัก 300 บริษัท จะเป็นเงินประมาณ 39 ล้านบาท ส่วนแบ่งค่าปรับ 25% สำหรับคนที่แจ้งคือ 9.7 ล้านบาท ลองคิดดูว่าจำนวนเงินขนาดนี้ ลองไปวิเคราะห์กันเอาเองว่า ส่วนแบ่งตรงนี้น่าจะเป็นกลุ่มคนไหนที่ได้ไปครับ
ซึ่งหลังจากที่บริษัทผมโดนปรับไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีร้าน Multi Brand และ Sports ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ก็ค่อยๆโดนตามทีละรายสองราย ผมเลยเข้าใจได้ว่า “ผู้ร้องเรียน” พยายามไล่ “ตามหมวด” ประเภทธุรกิจ ตอนนี้อาจจะไล่หมวด Sports และ รองเท้าอยู่ แล้วก็จะตามไปในหมวดอื่นๆต่อไป
ถึงตรงนี้ผมคิดว่าข้อกฏหมายนี้เป็นจุดที่อาจจะมีกลุ่มคนจ้องจะหาผลประโยชน์ได้ เพราะวันนี้ถ้าคุณสุ่มเวปทั่วไปใน Internet เชื่อว่า 95% ยังไม่ได้จดทะเบียนแน่นอนครับ ยังไม่รวมถึงเพจ Facebook Tiktok หรือ ร้านค้าต่างๆที่ใช้สื่อ Online ขายของซึ่งมีอีกเป็นล้านๆรายแน่นอน และถ้ามีคนรู้ตรงจุดนี้ แล้วไปร้องเรียนสัก 500-1000 เวป ลองคิดดูว่าจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่ มีคนจะต้องเดือดร้อนและเสียค่าปรับตรงนี้อีกเพียบแน่นอน แสนกว่าบาทไม่ใช่เงินน้อยๆ และน่าจะทำให้หลายบริษัทเดือดร้อนได้เลยกับตรงนี้ กับ สภาพเศษรฐกิจแบบนี้
ข้อสำคัญต่อมาที่ผมต้องเจออีก คือ ผมเป็นเจ้าของหลายบริษัท และ มีเวปไซต์ ที่ทำธุรกิจคนละเวป คนละบริษัท แยกกันชัดเจน หลังจากที่โดนปรับไปแล้ว 1 เวป และจดทะเบียนการตลาดแบบตรงเรียบร้อย ผมก็เลยรีบจะทำการจดทะเบียนอีก 1 เวปทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนปรับอีก ผลปรากฏว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่า จดไม่ได้แล้ว 1 คน 1 กรรมการบริษัท สามารถจดทะเบียนได้แค่ 1 เวปเท่านั้น ถึงตรงนี้คือ งง มากๆ ทุกวันนี้คนเราขายของหลายอย่าง หลายบริษัทได้หนิ แทบทุกบริษัทก็มีเวปขายของกันหมด ทำไมถึงมาจำกัดว่าได้คนละ 1 เวปเท่านั้น เหมือนมาบังคับว่า เราขายของได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น เจ้าหน้าที่ก็เลยตอบมาว่า เนื่องจากกฏหมาย
พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มีระบุไว้เพื่อป้องการธุรกิจขายตรงจดทะเบียนหลายบริษัทและอาจจะทำการคล้ายๆแชร์ลูกโซ่ได้
ตรงนี้ยิ่งทำให้คิดว่ากฏหมายไทยมันล้าหลังมากๆครับ คือคุณเอาบริษัทขายตรงมารวมกับบริษัทที่ขายของ Online มารวมในกฏข้อบังคับเดียวกันได้ยังไง มันแทบจะคนละแบบกันเลย ซึ่งเจ้าหน้าก็มีการแจ้งผมว่า มีการนำเสนอให้แก้กฏหมายข้อนี้มาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ผ่านสักที
ปัจจุบันผมต้องปิดช่องทางการขายทางเวปไซต์ไป 1 บริษัท และยังหาทางออกไม่ได้ว่าจะเอายังไงต่อดี หรือต้องรออีกกี่ปี กว่าจะแก้กฏหมายได้
กฎหมายนี้ควรได้รับการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพราะธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันมีมากมาย และหลายรายอาจไม่ทราบถึงข้อบังคับนี้ ควรมีการเรียกเตือนก่อน เน้นการสร้างการรับรู้เพื่อให้คนมาจดทะเบียน ไม่ใช่เน้นตามจับปรับอย่างเดียว จุดประสงค์เดียวของโพสนี้คือ ไม่อยากให้ใครโดนเหมือนผม ถ้าคุณขายของ Online จะมีเวป หรือ ไม่มีเวป ลองไปตรวจสอบดูและเชคข้อมูลกับ สคบ ครับ อย่าคิดว่าจะไม่โดน เพราะผมเห็นโดนมาหลายรายแล้ว จดทะเบียนได้รีบจดด่วนที่สุด ก่อนที่จะโดนปรับเป็นแสนครับ